ตัวอย่างระบบปฏิบัติการ
ใบงานที่ 7
ตัวอย่างระบบปฏิบัติการ
จัดทำโดย นายเอกมนตรี กระดุมผล รหัสนักศึกษา 60312800671
ประเภทของระบบปฏิบัติการ
อาจแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว (Stand-Alone OS)
ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (Network OS)
ระบบปฏิบัติการแบบฝัง (Embedded OS)
ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว (Stand-Alone OS)
มุ่งเน้นและให้บริการสำหรับผู้ใช้เพียงคนเดียว (เจ้าของเครื่องนั้นๆ)นิยมใช้สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประมวลผลและทำงานแบบทั่วไป เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ตามบ้านหรือสำนักงาน
รองรับการทำงานบางอย่าง เช่น พิมพ์รายงาน ดูหนัง ฟังเพลง หรือเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต เป็นต้นปัจจุบันสามารถเป็นเครื่องลูกข่ายเพื่อขอรับบริการจากเครื่องแม่ข่ายได้ด้วย
ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (Network OS)
มุ่งเน้นและให้บริการสำหรับผู้ใช้หลายๆคน (multi-user)นิยมใช้สำหรับงานให้บริการและประมวลผลข้อมูลสำหรับเครือข่ายโดยเฉพาะมักพบเห็นได้กับการนำไปใช้ในองค์กรธุรกิจทั่วไป
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการเหล่านี้จะเรียกว่าเครื่อง server (เครื่องแม่ข่าย)
ระบบปฏิบัติการแบบฝัง (Embedded OS)
พบเห็นได้ในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็ก เช่น พีดีเอหรือ smart phone บางรุ่น
สนับสนุนการทำงานแบบเคลื่อนที่ได้เป็นอย่างดีบางระบบมีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว เช่น ดูหนัง ฟังเพลงหรือเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้
ประเภทของระบบปฏิบัติการ
ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว (Stand-Alone OS)
MS-DOS
Windows 3.x
Windows95
Windows98
Windows Millennium Edition
Window XP
Window Vista
Window 7
ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (Network OS)
Mac OS X
Windows NT
Windows 2000 Professional
OS/2 Warp Client
Unix
Linux
Solaris
ระบบปฏิบัติการแบบฝัง (Embedded OS)
Windows Mobile หรือ Windows CE
Palm OS
Symbian OS
OS X
Android
ตัวอย่างระบบปฏิบัติการ
MS – DOS (Microsoft Disk Operating System) MS – DOS(Microsoft Disk Operating System)เป็นโปรแกรมควบคุมระบบปฏิบัติการพัฒนาในช่วงปีค.ศ. 1980จากบริษัทMicrosoftพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้กับงานเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้Microprocessor รุ่น 8086, 8088, 80286, 80386, 80486 สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องคอมพิวเตอร์ IBM Compatible ทั่วไป มี 2 เวอร์ชัน(Version)ได้แก่ PC-DOS และMS-DOS ดอสเป็นระบบปฏิบัติการที่มีส่วนประสานกับผู้ใช้(User Interface)เป็นแบบป้อนคำสั่ง(Command – line User Interface)MS – DOS ส่วนประกอบโปรแกรม 3 ส่วนคือ IO.SYS MS – DOS.SYS และ COMMAND.COM ทั้ง 3 โปรแกรมจะทำหน้าที่ในการจัดการทำงานทุกอย่างในระบบ สำหรับ MS – DOS.SYS และ IO.SYS นั้นเป็นไฟล์ระบบและถูกซ่อนไว้ในขณะที่เราสั่งงาน คำสั่งในระบบ MS – DOS จะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือคำสั่งภายใน (Internal Command) เป็นคำสั่งที่มีอยู่แล้วภายในระบบคำสั่งภายนอก (External Command) คำสั่งประเภทนี้ต้องเรียกใช้จากแผ่นโปรแกรมหรือจากหน่วยความจำสำรองที่ได้สร้างเก็บคำสั่งต่าง ๆ เหล่านี้ไว้หากไม่มีก็จะไม่สามารถเรียกคำสั่งขึ้นมาใช้ได้ ใช้สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นหลักพัฒนาขึ้นเมื่อประมาณปี 1980ป้อนชุดคำสั่งที่เรียกว่า command-line
windows
Windows
ส่วนประสานงานกับผู้ใช้แบบGUI (Graphical User Interface) ใช้งานได้ง่าย ผู้ใช้ไม่ต้องจดจำคำสั่งให้ยุ่งยากแบ่งงานออกเป็นส่วนๆที่เรียกว่า หน้าต่างงาน หรือ Windows
Windows 3.X
ประมาณต้นปี ค.ศ. 1990บริษัทไมโครซอฟต์ได้ผลิต Windows 3.0 ซึ่งนำมาใช้การทำงานระบบกราฟิกเพื่อให้ผู้ใช้ใช้งานง่ายและสะดวกเรียกว่า GUI (Graphic User Interface) โดยใช้ภาพเล็กๆ เรียกว่า ไอคอน(Icon) และใช้เมาส์ (Mouse) แทนคีย์บอร์ด (Key Board)นอกจากนี้ Windows 3.0 ขึ้นไป ยังสามารถทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้งานโปรแกรมได้มากกว่าหนึ่งโปรแกรมในขณะเดียวกันเรียกว่า Multitasking ได้พัฒนาระบบปฏิบัติการ Windows ขึ้นมามี 3 เวอร์ชัน (Version) ได้แก่ Windows 3.0, Windows 3.1และ Windows 3.11
Windows 95
ต่อมาในปี ค.ศ. 1995 บริษัทไมโครซอฟต์ได้ผลิต Windows95 ซึ่งเป็นระบปฏิบัติการที่ทำงานแบบหลายงาน(Multitasking)การทำงานในลักษณะเครือข่าย(Network)
Windows 95มีคุณลักษณะเด่นดังนี้
- มีระบบติดต่อกับผู้ใช้โดยแสดงเป็นกราฟิก(Graphical User Interface :GUI)
- มีความสามารถในการเปิดเอกสารได้ครั้งละหลายไฟล์ และสามารถใช้โปรแกรมหลายโปรแกรมในเวลาเดียวกัน
- มีโปรแกรมเวิร์ดโปรเซสซิ่ง เรียกว่าWord Pad โปรแกรมวาดรูป และเกมส์
- เริ่มมีเทคโนโลยี Plug and Play และสนับสนุนการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่าย
- อินเทอร์เน็ต โดยติดตั้ง Windows 95 ไม่จำเป็นต้องติดตั้งที่ MS-DOS ก่อน แต่สามารถใช้งานร่วมกับ MS-DOS ได้
- สามารถใช้แอปพลิเคชันที่รันบน Windows 3.1 ได้เลยโดยไม่ต้องแก้ไข และซอฟต์แวร์ที่รันบน Windows 95 มีความสามารถส่ง Fax และ E – mail ได้
Windows 98
เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของ Windows 95 ระบบปฏิบัติการ Windows 98 เป็นระบบที่สนับสนุนการทำงานของโปรแกรมต่างๆบน Windows โดยเชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ตอย่าง มีประสิทธิภาพ
Windows Millennium Edition
เรียกสั้น ๆ ว่า “Windows ME” ในเวอร์ชันนี้พัฒนามาจาก Windows 98 เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากเวอร์ชันเก่ามีการสนับสนุนการทำงานแบบมัลติมีเดียมากขึ้น
Windows XP
เป็นระบบปฏิบัติการที่มีความสมบูรณ์แบบทั้งในด้านการทำงานร่วมกับInternet Explorer 6 และ Microsoft Web Browser Windows XP มี คือ
Microsoft Windows XP Starter Edition
Microsoft Windows XP Home Edition
Microsoft Windows XP Professional Edition
Microsoft Windows XP Media Center Edition
Microsoft Windows XP Tablet PC Edition
Microsoft Windows XP Edition N
Microsoft Windows XP 64-Bit Edition
Microsoft Windows XP Embedded
Windows Vista
Windows Vista
มีทั้งหมด 6 Editions ประกอบไปด้วย
Windows Vista Starter
Windows Vista Home Premium
Windows Vista Home Basic
Windows Vista Business
Windows Vista Enterprise
Windows Vista Ultimate
Windows Vista
โดยพยายามออก Editions ให้แยกออกจากกันอย่างชัดเจนในจุดประสงค์การใช้งาน ทั้งตลาด Business, Consumers และ Starter pack
Windows Vista Starter
เกาะกลุ่มตลาดผู้ใช้หน้าใหม่ หรือระดับเบื้องต้นเท่านั้น
Window Vista สำหรับ Home users
Windows Vista Home Basic
Windows Vista Home Premium
Windows Vista Home Basic
Windows Vista Home Basic จะเทียบเท่ากับ Windows XP Home Edition
ซึ่งจะมี Internet browsing, e-mail และ ระบบสร้างเอกสารที่จำเป็นต่าง ๆ ซึ่ง Windows Vista Home Basic จะมาพร้อมกับความสามารถใหม่ที่ชื่อว่า Search Explorer, Sidebar และ Parental Controls
Windows Vista Home Premium
Windows Vista Home Premium หรือเทียบเท่า Windows XP Home edition + Windows XP Media Center Edition มาพร้อมกับ Interface ใหม่ที่ชื่อ Aero และได้ใส่ความสามารถของ Desktop Search, Windows Media Center, Windows PC Tablet Technology,
สนับสนุน HDTV และ ใส่ความสามารถของ DVD Burnner
Windows Vista Business
จะมาพร้อมกับ Interface ใหม่ ที่เรียกว่า Windows Aero และระบบ Navigation สำหรับทางด้านจัดการเอกสารทางธุรกิจต่าง ๆ มากมาย รวมถึงได้ใส่ความสามารถของ Desktop Search
โดยใน Windows Vista Business นั้นจะเทียบเท่ากับ Windows XP Professional ซึ่งรองรับ Windows Server domains, IIS (Internet Information Services) web server, Windows Tablet PC Technology โดยได้ built-in Handwriting มาพร้อมเช่นกัน
Windows Vista Enterprise
มาพร้อมกับการทำงานแบบเดียวกับ Windows Vista Business แต่ได้เพิ่มการจัดเก็บข้อมูลที่มีความปลอดภัยสูงสุดโดยผ่าน Hardware Encryption Technology, Microsoft’s Virtual PC และ Multilingual user interface (สนับสนุน GUI หลายภาษา)
Windows Vista Untimate
มีคุณสมบัติทางด้าน Entertainment, Mobility และ Business ที่พร้อมทั้งหมดในตัวเดียว โดยได้เพิ่ม Blogcasting (podcasting + blog), Game performance tweaker (WinSAT), DVD ripping ซึ่งใน Edition นี้เหมาะกับ High-end PC, Gamers, Multimedia Professionals และ PC enthusiasts
ระบบการทำงานของ Windows Vista
โดยทุก ๆ รุ่น ยกเว้น Windows Vista Starter จะออกมารองรับ 2 ทั้งระบบ CPU 32-bit และ CPU 64-bit แต่ใน Windows Vista Starter ที่มีเพียงระบบ CPU 32-bit เท่านั้น
Windows Vista
ซึ่ง Windows Viata Home Basic/Premium , Utimate และ Business จะมาพร้อมกับ Package Retail (กล่อง) และเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ (OEM)
และสำหรับ Windows Vista Enterprise นั้นจะจำหน่ายให้กับลูกค้าระดับธุรกิจองค์กรเท่านั้น โดยต้องเป็นลูกค้าที่ซื้อในลักษณะ Software Assurance program ของ Microsoft เท่านั้น
ตัวอย่างการทำงาน
การ Flip แบบ Real time ซึ่งเห็นหน้าการทำงานในแต่ละโปรแกรม
การ Flip 3D แบบ Real time ซึ่งเห็นหน้าการทำงานในแต่ละโปรแกรม โดยใช้ scroll wheel บน Mouse
การ Flip 3D แบบ Real time ซึ่งเห็นหน้าการทำงานในแต่ละโปรแกรม โดยใช้ scroll wheel บน Mouse
Window 7
Windows 7 ในแรกเริ่มเดิมที่มีชื่อหรือรหัสในการพัฒนาว่า แบล็กโคมบ์ (Blackcomb) ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นเวียนนา (Vienna) โดย Windows 7 ได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นกับ Vista ที่ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร Windows 7 จะใช้ทรัพยากรของเครื่องที่น้อยกว่า Windows Vista ทำให้ความเร็วในการทำงานโดยรวมนั้นเร็วกว่า Windows Vista มีการพัฒนาให้สามารถใช้งานได้ง่ายมากขึ้น พร้อมกับระบบจอภาพสัมผัส ระบบจดจำลายนิ้วมือ, DirectX 11 สำหรับกราฟิกและการเล่นเกม
Windows 7 เป็น 3 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่เป็นระบบปฏิบัติการที่เป็นแกนหลักของระบบปฏิบัติการที่ทำให้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สามารถทำงานร่วมกันได้ ระบบติดต่อกับผู้ใช้ หรือ Use Interface โปรแกรมต่างๆ ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องติดตั้งเพิ่ม
ส่วนที่เป็นระบบปฏิบัติการที่เป็นแกนหลักของระบบปฏิบัติการที่ทำให้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สามารถทำงานร่วมกันได้
สำหรับส่วนแรกนั้น Windows 7 พัฒนาต่อยอดมาจาก Windows Vista ทำให้ในส่วนของแกนหลักของระบบปฏิบัติการแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมายนัก ไม่ว่าจะเป็น ระบบเอฟเฟ็กต์ Aero ไดรเวอร์ต่างๆ รวมไปถึงระบบรักษาความปลอดภัยที่เรียกว่า Use Account Control ที่ปรับปรุงให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น ช่วยให้สามารถใช้งานโปรแกรมต่างๆ ได้อย่างปลอดภัยโดยสามารถกำหนดระดับการเตือนได้ โดยไม่มีการเตือนที่น่ารำคาญเหมือนกับ Windows Vista ด้านประสิทธิภาพในการทำงาน Windows 7 ใช้ทรัพยากรที่น้อยกว่า Windows Vista โดยหน่วยความจำขั้นต่ำ ใช้เพียง 1 กิกะไบต์ ในขณะที่ Windows Vista ใช้อย่างน้อย 2 กิกะไบต์ (แต่แนะนำให้ใช้จริงๆ 4 กิกะไบต์) โดยสังเกตได้ว่า Windows 7 จะใช้ทรัพยากรระบบน้อยลง และมีประสิทธิภาพในการทำงานเร็วกว่าทั้ง Windows Vista และ XP ประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์
ส่วนของระบบติดต่อกับผู้ใช้
มีการเปลี่ยนแปลงให้ดีกว่าที่มีใน Windows Vista (ผู้ใช้งาน Windows XP ก็สามารถใช้งานได้ไม่ยาก) โดยจะมีการปรับปรุงการใช้งานทาสก์บาร์ที่ดีขึ้น โดดยจะจัดไอเท็มที่คล้ายกันและมีความสัมพันธ์เข้าด้วยกัน เพื่อประหยัดพื้นที่ในการใช้งาน สามารถลากไอเท็มที่ต้องการไปวางบนไอเท็มที่รวมกลุ่มกัน และสามารถพรีวิวดูคอนเทนต์เมื่อวางพอยน์เตอร์เหนือไอคอนบนทาสก์บาร์ได้ด้วย รวมไปถึงคุณสมบัติ Aero Peek, System Tray, Jump List Gadget ที่ปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องวางไว้บน Sidebar เหมือนใน Windows Vista ผู้ใช้สามารถวางไว้ในที่ใดก็ได้บนเดสก์ทอป และจะมีปุ่ม show desktop ที่จะแสดงเดสก์ทอปทั้งหมดและคอลเล็กชั่น Gadget ของคุณโดยไม่ต้องมินิไมซ์หน้าต่างไหนลงทาสก์บาร์ รวมทั้งการปรับปรุงด้านการประหยัดพลังงาน ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับแบตเตอรี่ได้ยาวนานขึ้น
โปรแกรมที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการนั้น
จะมีการจัดกลุ่มให้สามารถใช้งานได้สะดวกมากขึ้น เช่น Windows Live Essential จะประกอบด้วยโปรแกรม Windows Photo Gallery, Windows Movie Maker, Windows Mail, Windows Calendar เป็นต้น
ทาสก์บาร์แบบใหม่ ที่รวม Quick Launch ไว้ด้วยกัน สามารถทำงานได้สะดวกมากขึ้น เมื่อนำพอยน์เตอร์ไปวางที่ไอคอนของโปรแกรมจะมีพรีวิวแสดงหน้าต่างแบบเต็มจอภาพประกฎขึ้น
Windows 7 แบ่งได้ 5 เอดิชั่น
Windows 7 Starter
Windows 7 Home Premium
Windows 7 Professional
Windows 7 Enterprise
Windows 7 Ultimate
Windows 7 ในเอดิชั่นต่างๆ
Windows 7 Starter (สำหรับเครื่องใหม่เท่านั้น)
โดยรุ่นนี้ จะเหมาะกับเครื่องใหม่ที่ไม่ได้ใช้งานอะไรมากนัก รวมไปถึงเน็ตบุ๊กต่างๆ และมีเวอร์ชั่น 32 บิตเท่านั้น มีคุณสมบัติทาสก์บาร์ปรับปรุงใหม่, Jump List, Windows Media Player, Backup and Restore, Action Center, Device Stage, Play To (สามารถเล่นเพลงไปยังเครื่องเสียงที่ตั้งไว้ที่อื่น) Fax and Scan, เกมพื้นฐานต่างๆ สิ่งที่ขาดหายไปในเวอร์ชั่นนี้ คือ Aero Glass, Aero desktop enhancements ต่างๆ , Windows Touch, Media Center, Live thumbnail previews, Home Group creation
Windows 7 Home Premium
เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป มีคุณสมบัติ Aero Glass, Aero Background, Windows Touch, Home Group creation, Media Center, DVD Playback and authoring, เกมพรีเมี่ยมต่างๆ,
Mobility Center สิ่งที่ขาดหายไปในเวอร์ชั่นนี้ คือ Domain join (สนับสนุนการล็อกอินแบบมีโดเมน), Remote Desktop host, advanced backup, EFS, Office Folders คลิ๊กดูคุณสมบัติ aero แบบต่าง ๆ จากไมโครซอฟต์
Windows 7 Professional
เหมาะกับผู้ใช้ทั่วไป มีคุณสมบัติ Domain join (สนับสนุนการล็อกอินแบบมีโดเมน), Remote Desktop host, location aware printing, EFS, Mobility Center, Presentation Mode, Office Folders สิ่งที่ขาดหายไปในเวอร์ชั่นนี้ คือ BitLocker, BitLocker To Go, AppLocker, Direct Access, Branche Cache, MUI language packs, บูตจาก VHD
Windows 7 Enterprise
เหมาะสำหรับผู้ใช้ในองค์กรที่ซื้อแบบ Volume-license มีคุณสมบัติ BitLocker, BitLocker To Go, AppLocker, Direct Access, Branche Cache, MUI language packs, boot from VHD, Virtualization สิ่งที่ขาดหายไปในเวอร์ชั่นนี้ คือ Retail licensing
Windows 7 Ultimate
เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้ทั่วไป แต่จำกัดความสามารถในการใช้งาน มีคุณสมบัติ BitLocker, BitLocker To Go, AppLocker, Direct Access, Branche Cache, MUI language packs, boot from VHD สิ่งที่ขาดหายไปในเวอร์ชั่นนี้ คือ Volume licensing คลิ๊กรายละเอียด window 7 เพิ่มเติม
Window 8
มีอินเตอร์เฟซที่เรียกว่า Live tile (รูปภาพ หรือไอคอนสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่เรียงต่อกันบนหน้าจอ) บน Windows Phone ถูกนำมาใช้กับระบบปฏิบัติการ Windows 8 โดยจะแสดงบนหน้าจอเริ่มต้น (Start Screen) ให้ผู้ใช้ได้เห็นเมื่ืออุปกรณ์ที่ทำงานด้วย Windows 8 ของเขาเริ่มทำงาน (ล็อกอินจากหน้า Lock Screen)
เนื่องจากการทำงานของ Windows โดยธรรมชาติจะมีรูปแบบของการทำ"หลายงาน" (multitasking) และเพื่อให้ Windows 8 รองรับการทำงานบนหน้าจอของ"แท็บเล็ต"ได้อย่างลงตัว ทางผู้พัฒนาจึงได้ออกแบบให้มันมาพร้อมกับฟีเจอร์ที่เรียกว่า "snapping" ซึ่งปกติผู้ใช้จะสามารถเลือกดูแอพฯต่างๆ ที่กำลังทำงานได้ด้วยการกวาดนิ้วจากซ้ายไปขวา แต่ด้วยฟีเจอร์นี้คุณสามารถลากแอพฯ เพื่อแบ่งหน้าจอในการดูแอพฯตัวอื่นๆ ได้ ในขณะที่แอพฯตัวปัจจุบันยังคงทำงานอยู่ แม้จะถูกย่อให้เหลือพื้นที่ในการทำงานเล็กลงไปก็ตาม อินเตอร์เฟซของ Internet Explorer 10 ได้รับการออกแบบให้สนับสนุนการทำงานในระบบสัมผัส ในขณะที่รองรับแอพพลิเคชันที่พัฒนาด้วย HTML5 และการเร่งการทำงานกราฟิกด้วยฮาร์ดแวร์ทีมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
และสำหรับหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ ไมโครซอฟท์ได้ออกแบบ"คีย์บอร์ดเสมือนบนหน้าจอ" (On Screen Virtual keyboard) ที่สามารถใช้นิ้วสัมผัสได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยแบ่งคีย์บอร์ดเป็นสองส่วน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถพิมพ์ข้อความด้วยมือทั้งสองได้สะดวกยิ่งขึ้นWindows 8 จะสนับสนุนการทำงานของซอฟต์แวร์ที่รันบน Windows 7 และระบบไฟล์ของพีซีทั่วไป ดังนั้น พีซีอื่นๆ ที่ต่อเชื่อมอยู่บนเครือข่าย ตลอดจนเซิร์ฟเวอร์จะสามารถเข้าถึงได้อย่างสมบูรณ์โดยอุปกรณ์พกพาทีทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ Windows 8 ผู้บริหารแผนก Windows Exprerience ของไมโครซอฟท์กล่าวว่า "มันไม่ได้แค่ทำให้พีซี (windows) ทำงานในระบบสัมผัส แต่ประสบการณ์ที่ผู้ใช้จะได้รับจาก Windows 8 คือความลื่นไหลในการใช้งานแอพพลิเคชน และอุปกรณ์ต่างๆ จากการที่แพลตฟอร์มพีซีวันนี้มีความหลากหลายมากขึ้น ส่วนติดต่อผู้ใช้ (UI) และแอพฯ ใหม่ๆ จะสามารถทำงานกับคีย์บอร์ด และเมาส์ หรือไม่ก็ได้ รวมถึงขนาด และความละเอียดของหน้าจอที่แตกต่าง จากแท็บเล็ตขนาดเล็กไปจนถึงโน้ตบุ๊ค เดสก์ทอป หรือ ออลอินวันพีซี และแม้แต่จอขนาดใหญ่ทีใช้ในห้องเรียน พีซีหลายร้อยล้านเครื่องจะทำงานด้วยส่วนติดต่อผู้ใช้ Windows 8 ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าอุปกรณ์ของคุณจะเป็นอะไรก็ตาม"
ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (Network OS)
Windows NT
Windows NT เป็นระบบปฏิบัติการในส่วนของเครือข่าย(Network)คล้ายกับ Windows 95 พัฒนามาจาก LAN Managerและ Windows for Workgroup โดย Windows NT มี 2 เวอร์ชัน ได้แก่ Windows NT Server และ Windows NT Workstation โดยที่ Server จะทำหน้าที่ระบบปฏิบัติการเครือข่ายที่คอยให้บริการแก่เครื่องที่เป็นWorkstation
คุณสมบัติของระบบปฏิบัติการ Windows NT มีดังนี้
- สามารถใช้กับตัวประมวลผล (Processor) ได้หลายแบบทั้ง Pentium, DEC และ Alpha โดยย้ายรูปแบบโปรแกรมข้ามระบบได้
- สามารถเพิ่มขยายหน่วยความจำได้ถึง 4 จิกกะไบต์ (GB)
- ทำงานได้ในลักษณะหลายงานพร้อมกันและสามารถเปลี่ยนแปลงรายการแบบพหุคูณ หรือหลายรายการพร้อมกัน(Multithreading)
- สามารถใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีตัวประมวลผล(CPU)มากกว่า 2 โปรเซสเซอร์
- สามารถใช้กับตัวประมวลผล (Processor) ได้หลายแบบ ทั้ง Pentium, DEC และ Alpha โดยย้ายรูปแบบโปรแกรมข้ามระบบได้
- สามารถเพิ่มขยายหน่วยความจำได้ถึง 4 จิกกะไบต์ (GB)
- ทำงานได้ในลักษณะหลายงานพร้อมกันและสามารถเปลี่ยนแปลงรายการแบบพหุคูณ หรือหลายรายการพร้อมกัน (Multithreading)
- สามารถใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีตัวประมวลผล (CPU) มากกว่า 2 โปรเซสเซอร์
- สามารถสร้างระบบแฟ้มของตนเองเป็นแบบ NTFS ซึ่งแต่เดิมจะเป็นแบบ FAT (File Allocation Table) เพียงอย่างเดียว
- สามารถสนับสนุนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีจานแม่เหล็กหลายตัวต่อเป็นชุด ซึ่งเรียกว่า RAID (Redundant Aray of Inerpenside Disks)
- มีระบบป้องกันความปลอดภัยของข้อมูลโดยสร้างรหัสผ่านให้กับผู้ใช้แต่ละคน และสามารถกำหนดวันเวลาในการใช้งาน
- โปรแกรมที่ใช้ระบบ DOS ก็สามารถจะนำมาใช้งานบน Windows NT ได้
Windows 2000 Professional / Standard
เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับการพัฒนาให้อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ที่ใช้งานลักษณะเป็นกราฟิกเช่น มีโปรแกรม Windows Installation Service ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำการติดตั้งหรืออัพเกรด (Upgrade) โปรแกรมได้ง่ายและมีการจัดการระบบตลอดจนมีการบริหารแม่ขายแบบรวมศูนย์เหมาะสำหรับใช้ในงานสำนักงานมากกว่าที่จะใช้ที่บ้านจุดเด่นของWindows 2000คือ การต่อเชื่อมระบบเครือข่ายและระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพสูงและสนับสนุน Multi Language
Windows Server
Windows Server ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับระบบเครือข่ายโดยเฉพาะ เดิมมีชื่อว่า Windows NT
รองรับกับการใช้งานในระดับองค์กรขนาดเล็กและขนาดกลาง พัฒนาโดยบริษัทไมโครซอฟท์
เหมาะกับการติดตั้งและใช้งานกับเครื่องประเภทแม่ข่าย (server)
Mac OS X
ระบบปฏิบัติการ Macintosh Operating System เป็นระบบปฏิบัติการของเครื่องแมคอินทอชเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่ประสบความสำเร็จเกี่ยวกับการทำงานแบบ GUI ในปี ค.ศ. 1984 ของบริษัท Apple ต่อมาได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นระบบปฏิบัติการ Mac OS โดยเวอร์ชันล่าสุดมีชื่อเรียกว่า Mac OS X เหมาะสมกับคอมพิวเตอร์ที่ผลิตโดยบริษัท Apple และมีความสามารถในการทำงานหลายโปรแกรมพร้อมกัน(Multitasking)เหมาะกับงานในด้านเดสก์ทอปพับลิชชิ่ง (Desktop Publishing)
ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ผลิตขึ้นโดยบริษัทแอปเปิ้ลเท่านั้นเหมาะสมกับการใช้งานประเภทสิ่งพิมพ์เป็นหลัก มีระบบสนับสนุนแบบ GUI เช่นเดียวกับระบบปฏิบัติการ Windows
OS/2 Warp Client
พัฒนาขึ้นมาโดยบริษัท IBM ได้นำเครื่องคอมพิวเตอร์ PS/2เข้าสู่ตลาดก็ได้ติดต่อบริษัทไมโครซอฟต์ พัฒนาระบบปฏิบัติการตัวใหม่เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องลูกข่ายสามารถทำงานแบบการทำงานหลายงาน (Multitasking) ได้ มีลักษณะการทำงานแบบดอสมากกว่า Windows สนับสนุนการทำงานแบบเครือข่าย มีขีดความสามารถติดต่อกับผู้ใช้แบบกราฟิก
OS/2ที่ผลิตออกมาในขณะนั้นไม่เป็นที่นิยม เพราะต้องใช้หน่วยความจำขนาดใหญ่ และโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้กับ OS/2 ก็มีน้อย
OS/2 Warp Serverพัฒนาโดยบริษัทไอบีเอ็มใช้เป็นระบบเพื่อควบคุมเครื่องแม่ข่ายหรือ server เช่นเดียวกัน
UNIX
เป็นระบบปฏิบัติการที่ใหญ่ สามารถใช้งานในลักษณะการทำงานหลายๆโปรแกรมพร้อมกัน (Multitasking)และเป็นแบบมัลติยูสเซอร์(Multi-User)คือมีผู้ใช้หลายๆคนพร้อมกันเป็นระบบที่พัฒนามาใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่เช่นเครื่องเมนเฟรม มินิคอมพิวเตอร์และเวิร์กสเตชั่น (Workstation)เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ธรรมดาๆที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการUNIXสามารถทำงานรองรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีUserต่อเชื่อมเข้ามาได้มากถึง120ตัวไปพร้อม ๆกันและเหมาะสมสำหรับระบบเน็ตเวิร์ก (Network)
ผู้ใช้กับต้องมีความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์พอสมควรรองรับกับการทำงานของผู้ใช้ได้หลายๆคนพร้อมกัน (multi-user) มีการพัฒนาระบบที่สนับสนุนให้ใช้งานได้ทั้งแบบเดี่ยวและแบบเครือข่าย
Solaris Solaris
เป็นเวอร์ชันหนึ่งของUNIXพัฒนาโดยบริษัทSun Microsystems เป็นระบบปฏิบัติการเครือข่ายที่ออกแบบสำหรับงานด้านโปรแกรม E - commerce
ทำงานคล้ายกับระบบปฏิบัติการแบบ Unix (Unix compatible) ผลิตโดยบริษัทซัน ไมโครซิสเต็มส์
LINUX
เป็นระบบปฏิบัติการที่มีลักษณะคล้ายกับ UNIXพัฒนาขึ้นมาเพื่อแจกจ่ายให้ใช้โดยไม่เสียค่าใช้
จ่ายบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และพัฒนาขึ้นเพื่อใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ PC
พัฒนามาจากระบบ Unix ใช้โค้ดที่เขียนประเภทโอเพ่นซอร์ส (open source) มีการผลิตออกมาหลายชื่อเรียกแตกต่างกันไป มีทั้งแบบที่ใช้สำหรับงานแบบเดี่ยวตามบ้านและแบบที่ใช้สำหรับงานควบคุมเครือข่ายเช่นเดียวกับระบบปฏิบัติการแบบ Unix
ระบบปฏิบัติการแบบฝัง (Embedded OS)
Windows Mobile
ย่อขนาดการทำงานของ Windows ให้มีขนาดที่เล็กลง (scaled-down version) รองรับการทำงานแบบ multi-taskingมักติดตั้งบนโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ๆหลายรุ่น
Palm OS
พัฒนาขึ้นมาก่อน Windows CE หรือ Windows Mobile ของไมโครซอฟท์ลักษณะงานที่ใช้จะคล้ายๆกันใช้กับเครื่องที่ผลิตขึ้นโดยบริษัทปาล์มและบางค่ายปัจจุบันมีการพัฒนาอินเทอร์เฟสให้น่าใช้มากกว่าเดิม รองรับการทำงานผ่านเว็บสำหรับเครื่องบางรุ่น โดยตั้งชื่อใหม่ว่า webOS
Symbian OS
รองรับกับเทคโนโลยีการสื่อสารแบบไร้สาย (wireless) โดยเฉพาะนิยมใช้กับโทรศัพท์มือถือประเภท smart phone สนับสนุนการทำงานแบบหลายๆงานในเวลาเดียวกัน (multi-tasking)
OS X
ระบบปฏิบัติการที่ใช้ในเครื่อง iPhoneเป็นระบบปฏิบัติการแบบเดียวกับที่ใช้ในเครื่อง Mac
มาพร้อมซอฟต์แวร์ช่วยอำนวยความรองรับการทำงานพร้อมๆกันหลายโปรแกรมหรือ Multitasking
Android
พัฒนาโดยบริษัท Google ผู้นำด้านเสิร์ชเอ็นจิ้นมีโปรแกรมสำหรับการใช้งาน เช่น SMS, ปฏิทิน บราวเซอร์ สมุดโทรศัพท์ โปรแกรมดูวิดีโอจาก YouTube, Wiki Mobile และGoogle maps
อ้างอิง
http://www.chantra.sru.ac.th/OS.htm
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น